วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เคยไหม . . . ที่เป็นคนนอก


เคยไหม . . . ที่ต้องอยู่ท่ามกลางบทสนทนาที่เราไม่มีส่วนร่วม
เคยไหม . . . ที่สิ่งเราเป็นกลับแปลกแยกแปลกประหลาดจากคนอื่น
เคยไหม . . . ที่คนรอบข้างทำราวกับว่าเราไม่มีตัวตน ทั้ง ๆ ที่เรายังคงอยู่ตรงนั้น
เคยไหม . . . ที่ต้องเป็นคนนอก แม้เราอยู่เคียงข้างคนที่เราเรียกว่า เพื่อนก็ตาม
เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นกับเราในช่วงหลายวันที่ผ่านมา แม้จะต่างสถานที่ ต่างเวลา แต่เหตุการณ์กับเหมือนกัน เรานั่งอยู่ตรงนั้นแต่กลับไร้ตัวตน บทสนทนาที่ละเลยความรู้สึก การกระทำที่มองข้ามกันไป มันเจ็บปวดและมันเจ็บปวดยิ่งกว่า เพราะมันมาจากคนที่เราเชื่อใจ คนที่เราฝากความรู้สึกไว้ คนที่เราเชื่อว่าเค้าเป็น เพื่อน
บางที่คำว่า . . . เพื่อน อาจไม่ได้ใช้เรียกกันง่ายดาย
บางทีคำว่า . . . เพื่อน คงต้องใช้ความคิดความรู้สึกมากกว่านี้
บางทีคำว่า . . . เพื่อน คงต้องดูกันเนิ่นนาน
บางทีคำว่า . . . เพื่อน คงเหมาะสมสำหรับบางคน
ในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมา การที่เราจะเรียกใครว่า เพื่อน สักคน เราจะใช้เพลง u could be my friend ของอพาร์ทเมนท์คุณป้าเป็นเหมือนบรรทัดฐาน แต่พักหลังนี้เหมือนเรากลับหลงลืมไป เราใช้ความรู้สึก เหงา เป็นตัวตัดสินว่าใครเป็นเพื่อนเรา การกระทำเล็กน้อย คำพูดบางคำ ก็ทำให้เราหลงเชื่อว่า เค้าคือเพื่อน
แต่ถามว่าเค้าผิดไหมกับการที่เราต้องไร้ตัวตน คำตอบคือ ไม่ผิด
เราต่างหาก . . . ที่ผิด
เราต่างหาก . . . ที่ไว้ใจ
เราต่างหาก . . . ที่ฝากความรู้สึกไว้กับเค้าเอง
เราต่างหาก . . . ที่เลือกจะไปอยู่ ณ สถานที่ ที่เราไร้ตัวตน
หลังจากนี้เราต้องเข้มแข็ง ต้องอยู่คนเดียวให้ได้มากขึ้น เหงาให้น้อยลง และที่สำคัญเลิกไปผูกความรู้สึกติดกับใครอย่างไม่ดูตามาตาเรืออีกแล้ว
ไม่ใช่ทุกคน . . . ที่ให้ความสำคัญกับเรา อย่างที่เราเห็นเค้าสำคัญ
ไม่ใช่ทุกคน . . . ที่จะเข้าใจเราอย่างเข้าถึงตัวตน (โดยเฉพาะคนเข้าใจยากอย่างเรา)
ไม่ใช่ทุกคน . . . ที่จะจริงใจในทุกความสัมพันธ์
ไม่ใช่ทุกคน . . . ที่จะคิดว่าเราคือเพื่อน อย่างที่เราเห็นเค้าเป็น
แต่สุดท้ายนี้ใช่ว่า เราจะไม่สามารถเรียกใครว่า เพื่อนได้อีกต่อไป เพราะเรารู้ว่า เรายังมีเพื่อนแสนดีอยู่เคียงข้างเรามากมาย และเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นกับเรา (ดูจากบทความข้างล่าง) ทำให้เรารู้ว่า ยังมีความห่วงใยมากมายอยู่รอบตัวเรา ขอบคุณเพื่อนทุกคน . . . ขอบคุณ
P.S. เพื่อนคนหนึ่งเคยบอกเราว่า ไม่มีอะไรผิดในความสัมพันธ์ เราก็คิดอย่างนั้น การที่เราเป็นคนนอก ถูกละเลยความรู้สึก ผู้คน ณ ที่ตรงนั้นไม่ได้ทำอะไรผิด เราแค่อ่อนไหวและคาดหวัง แค่น้อยใจและต่อไปเราจะหนักแน่น ไม่อ่อนไหวและคาดหวังอย่างที่แล้วมา

วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2552



ตลอด 3 เดือนกว่า ๆ ที่ผ่าน มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นกับตัวเราเอง การเปลี่ยนแปลง ผิดหวัง สมหวัง(ซึ่งไม่ค่อยมี) รวมถึงอะไรหลายอย่างมากมายที่เกิดขึ้นกับเรา แต่จากเหตุการณ์ที่เราเล่าผ่านบล็อคอันล่าสุดของเรานั้น (อ่านได้ข้างล่าง) ทำให้เรานั้นย้ำอยู่ในวังวนของคำถามของความสัมพันธ์ จนเรารู้สึกว่าเรายังเวียนว่ายอยู่ในคำถามจนไม่สามารถเขียนอะไรออกมาได้ เข้ามาดูบล็อคอีกที ฝุ่นก็เกาะอยู่เต็มบล็อคจนวันนี้มีโอกาสที่จะปัดฝุ่น เพราะเรารู้สึกว่า วันนี้เรามีเรื่องราวที่อยากจะเล่าออกไป
เรื่องแรกคงเป็นเรื่องของเธอ เธอคนนั้นที่เราต้องแยกจากชีวิตของกันและกันมาได้ 3 ปีแล้ว อะไรหลายอย่างน่าจะหายไป ความรู้สึกทั้งหลายอย่างน่าจะแปรเปลี่ยนหายไปกับกาลเวลา กับเธอคนนั้นเราไม่รู้ แต่เราเชื่อว่าเธอคงแปรเปลี่ยนด้วยสิ่งเลวร้ายที่เราทำและคนรักของเธอ รูปถ่ายเธอกับเค้าดูมีความสุข ความสุข และความสุขมากกว่าตอนที่อยู่กับเรา และทันใดเพลง creep ของ radiohead ก้อดังขึ้น หากเธอคือนางฟ้าและบางสิ่งสวยงาม ที่แห่งความสุขนั้น คงไม่เหมาะกับตัวประหลาดน่าขยะแขยงอย่างเรา แม้เราอยากจะพิเศษกว่าใครมากมายเพียงใด เราก็เป็นได้แค่ตัวประหลาดเยี่ยงนี้ และในที่สุดเราต้องเลิกหลอกตัวเอง เพราะรูปถ่ายนั้นมันฟ้องว่า ว่าที่ในภาพมีแค่สองที่เท่านั้นและไม่มีที่เหลือพอให้ตัวประหลาดแต่อย่างใด
เรื่องต่อมาคงเป็นเรื่องของช่วงเวลานั้น ช่วงเวลาที่ทำให้เรารู้สึกว่า เราไม่ได้อยู่เพียงลำพังอีกต่อไป เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนหนึ่งย่อมส่งผลต่ออีกคนหนึ่งเสมอ และยิ่งเป็นคนที่ผูกพันกันมาจะสิบปีด้วยแล้ว ไม่ว่าเรื่องเล็กน้อยใหญ่โตเพียงใด ทุกเรื่องนั้นส่งผลต่อเรา เราจะดูแลเธอคนนี้ให้ดีที่สุด เธอคือเหตุผลเดียวที่ทำให้เรายังเชื่อในความรัก เพราะเราเสมอเชื่อว่า ความรัก คือ การที่เราให้อีกคนหนึ่งทำร้ายกลืนกินชีวิตและความรู้สึกของเรา (ขอขอบคุณ Greasy cafe "สิ่งเหล่านี้") เธอทำให้เรายังเชื่อในสิ่งที่เรียกว่า "รัก" ขอบคุณ และจะตอบแทนเธอด้วยทุกวันเวลาที่มี
เรื่องที่สามนิสัยสันดานที่ไม่ยอมตายจากของเรา เรามักเถียงเสมอว่า เรานั้นไม่ใช่ไอ้หน้าม้อ เราเป็นเพียงชายเจ้าชู้ ชายมากรักมากความสัมพันธ์ ที่มีความรักหลุ่มหลงผ่านมาตลอดช่วงเวลาของชีวิต เราไม่เคยขาดเธอเหล่านั้น เราตกหลุมรักเธอเหล่านั้น เธอเหล่านั้นต่างตกหลุมรัก(เรา) ชีวิตตลอดมามักเป็นอย่างนี้ แต่หลังจากเหตุการณ์ 3 ปีก่อน เราเปลี่ยนไป เราไม่กล้าตกหลุมรักใครอย่างจริงจังและกลัวยิ่งกว่าที่จะมีใครมารักเรา เราไม่สามารถผูกพันกับใครมากเกินไปได้อีก ความผูกพันคือการทำร้าย เราไม่อยากทำร้ายใครอีกต่อไป แค่เธอคนนั้นมันก็มากเกินไป หลายครั้งที่เราเชื่อว่าเราเจอความรักอีกครั้ง หลายครั้งเธอเหล่านั้นมีแรงดึงดูดบางอย่าง มีความรักรอเราอยู่ตรงหน้า เราได้แค่ยิ้ม บอกตัวเราเองว่า คงเป็นได้เพียงเพื่อนกัน เราจากมาก่อนที่เราจะทำร้ายใคร
บางอย่างในตัวเราได้เปลี่ยนไป บางอย่างรอวันเปลี่ยนไป และบางอย่างยังคงรอท่าที เพื่อรอวันกลับมา แต่สุดท้ายคงอย่างที่ The Beatles บอกไว้ Let it be ปล่อยให้มันเป็นไป สุดท้ายก้อต้องทำสิ่งที่ต้องทำเพื่อที่ตัวประหลาดอย่างเราจะไม่ต้องทำร้ายใคร และหวังว่าใครทั้งหลายจะไม่ทำร้าย ตัวประหลาดที่โง่งมอย่างเรา
ขอบคุณที่อ่าน ให้อภัย เข้าใจ และไม่ทำร้ายกัน

วันศุกร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2552

ข้าพเจ้าคือตัวโง่งม ที่เปลี่ยนไป


ข้าพเจ้ามีความเชื่อเสมอว่า ทุกความสัมพันธ์นั้นมีเยื่อใยอยู่ ไม่ว่าเรากับใครคนนั้นจะสนิทสนมกันแค่ไหนหรือมากน้อยเท่าไรก็ตาม แต่ถ้าเส้นทางทางชีวิตของเราได้ตัดผ่านกันแล้ว อย่างน้อยที่สุดเราจะมีความทรงจำร่วมกัน มีความผูกพัน ดังนั้นข้าพเจ้ามักมีเยื่อใยให้กับใครก็ตามที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือคนรักก็ตาม เพราะอย่างที่กล่าวมาแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อในความสัมพันธ์และที่มากกว่านั้นข้าพเจ้าเชื่อว่าความทรงจำที่มีร่วมกันนั้นมันมีค่า แต่กลับมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ความเชื่อเหล่านั้นของข้าพเจ้าต้องสั่นคลอน คือการที่คนที่ข้าพเจ้าให้ความสำคัญมากกว่าใครกลับบอกออกมาว่า ข้าพเจ้าไม่เคยสำคัญและมีความหมายใด

ความรู้สึกแรกที่รับรู้ คือ ข้าพเจ้านั้นเหมือนตัวโง่งม ทำไมเราถึงเชื่ออะไรอย่างนั้นมาได้ตั้งนาน ความสัมพันธ์ที่เราเชื่อ กับเขานั้นเยื่อใยที่เราให้มันไม่เคยเป็นจริง สิ่งที่ข้าพเจ้าเชื่อมันคือสิ่งที่ข้าพเจ้าเชื่อแต่เพียงผู้เดียว กับเขาเขาคงมีความเชื่ออีกแบบ อาจเป็นความเชื่อแบบที่ว่า "ถ้ามึงโง่ที่จะให้กูเอง มึงก็ต้องให้ต่อไป ให้จนกว่ากูจะเบื่อหรือไม่มึงก็ตาสว่าง" และในที่สุด . . . ข้าพเจ้าตาสว่าง

ในช่วงต้นปีอย่างนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกดีที่ข้าพเจ้าตาสว่าง ข้าพเจ้าจะได้เป็นคนใหม่ในช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้น แม้บางอย่างในตัวจะหายไปแต่ข้าพเจ้าก็ได้สิ่งใหม่เข้ามา ต่อจากนี้ความเชื่อของข้าพเจ้าจะเปลี่ยนไปความสัมพันธ์นั้นไม่มีเยื่อใย มันมีแค่เกิดขึ้นและจบลง สิ่งเดียวที่ผู้แพ้จะทำได้ คือการที่เราต้องดูแลตัวเอง

ข้าพเจ้าไม่รู้ว่า ต่อจากนี้ความสัมพันธ์ของข้าพเจ้ากับคนนั้นจะเป็นอย่างไร และข้าพเจ้าจะมีเยื่อใยในความสัมพันธ์อื่นอีกหรือไม่ แต่ที่ข้าพเจ้ารู้ ข้าพเจ้าเปลี่ยนไปแล้ว . . . และขั้นต่อไปคงต้องหาวิธีตัดอย่างไรให้ขาด