วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551

Queer Film for straight guy (!! Help me !! i'm not sure)


2 บทความที่ผ่านมาข้าพเจ้าเขียนมันด้วยอารมณ์ความรู้สึกล้วน ๆ ไม่ว่าจะเป็นบทความแรกที่เขียนด้วยอารมณ์เหงา ส่วนบทความที่สองเขียนด้วยความรู้สึกที่แปลกใจกับตนเองที่พยายามร้องไห้มาตลอดทั้งวันกับเรื่องที่เรารู้สึกว่ามันหนักหนามากมายจนต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ แต่เรากลับมาร้องไห้อย่างง่ายดายเพียงแค่หนังชื่อโตเกียวทาวเวอร์ ซึ่งอาจจะทำให้บทความแรกและบทความที่สองมีความบกพร่องทางด้านสำนวน การเล่าเรื่องและแม้แต่จุดอ่อนที่แก้ไม่หายคือการสะกดคำ แต่พอมาถึงบทความที่สามข้าพเจ้ากับมีความคิดไตร่ตรองอยู่นานว่า ข้าพเจ้าจะบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ดีไหม ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ล่อแหลมและชวนเกิดความสงสัยในตัวข้าพเจ้าอย่างยิ่ง แต่เมื่อข้าพเจ้าคิดแล้วคิดอีก ข้าพเจ้าคิดได้ว่า ข้าพเจ้าไม่อาจเก็บเรื่องราวนี้ไว้กับตัวได้อีกต่อไปแล้ว จึงเขียนบทความนี้อย่างไตร่ตรองและระมัดระวังเพื่อกันความเข้าใจผิดหรือความคลาดเคลื่อนในตัวข้าพเจ้า และข้าพเจ้ายังเขียนขึ้นมาเพื่อระบายความในใจเผื่อมีผู้หวังดีสามารถไขข้อข้องใจข้อนี้ของข้าพเจ้า นั่นคือ . . . ช่วงนี้ชอบดูChick Film กับ Queer Film "กูเป็นเกย็รึป่าวว่ะ"


ข้าพเจ้าเชื่อเสมอว่า การดูหนังเกย์และหนังผู้หญิ่ง ผู้หญิง ไม่ได้หมายความว่า ข้าพเจ้านั้นเป็น . . .เกย์ (ยากเหลือเกินที่จะเอ่ยคำนี้ออกมา) แต่เมื่อข้าพเจ้าได้อ่าน Starpic เล่มล่าสุดที่ว่าด้วยหนังของเกย์ มีหนังหลายเรื่องมากที่เป็นหนังติดอันดับของเกย์และดันเสือกเป็นหนังเรื่องโปรดของข้าพเจ้า (ซึ่งข้าพเจ้าไม่อาจเอ่ยนามได้หมดเพราะเยอะมากและเกย์มาก) ซึ่งมันทำให้ข้าพเจ้าหวั่นไหว ข้าพเจ้ายอมรับว่าหนังเหล่านั้นมันโคตรเกย์ ข้าพเจ้าจึงปลอบใจตนเองด้วยการบอกว่า ยังมีหนังโคตรแมนและโคตรแนวหลายเรื่องที่ข้าพเจ้ารัก (รักมีขั้นสูงกว่าโปรดปราน ข้าพเจ้าเริ่มมั่นใจในความเป็นแมนของตนมากขึ้น) แต่เมื่อข้าพเจ้ากลับมาสังเกตตนเองอีกทีระยะสองปีหลังที่ผ่านมาข้าพเจ้าดูหนังพวกนี้มากกว่าช่วงชีวิตทั้งหมดของข้าพเจ้า ซึ่งจุดเริ่มต้นมันมาจาก หุบเขาแห่งนั้น หุบเขาBrokeBack หุบเขาเร้นรัก . . . (ถ้าอ่านตอนฟังดนตรีประกอบของหนังจะได้อารมณ์มาก)

หนังหุบเขาเร้นรักเรื่องนี้ทำให้น้ำตาของข้าพเจ้าไหลซึมออกมาในความรักของพวกเขา แม้บางฉากข้าพเจ้าจะปิดตาดูราวกับดูหนังสยองขวัญอยู่ก็ตามและข้าพเจ้าก็โปรดปรานหนังเรื่องนี้มาก เป็นหนังอีกเรื่องที่ข้าพเจ้าประทับใจ และหลังจากนั้นข้าพเจ้าก็เริ่มดูหนังเกย์มากขึ้นซึ่งมีทั้งประทับใจและไม่ประทับใจปะปนกันไป(แต่ส่วนใหญ่ข้าพเจ้าประทับใจนะ) จนเมื่อหนังเกย์ที่พอหาได้หมดข้าพเจ้าเริ่มหาหนังผู้หญิงมาดูซึ่งส่วนใหญ่ข้าพเจ้าประทับใจไม่ว่าจะเป็น Pride and prejudice(2รอบ), Dream Girl (2รอบ+soundtrack) หรือล่าสุด Sex and The city (ชอบมากจนจะหาตอนเป็นซีรีย์มาดู) etc.

ด้วยตัวอย่างและเหตุการณ์ทั้งที่ข้าพเจ้ากล่าวมามันทำให้ข้าพเจ้าเริ่มไม่แน่ใจในความเป็นบุรุษเพศของตนเอง เพราะข้าพเจ้ามักอินในหนังเหล่านี้จนเกินงาม เกิดความประทับใจและเริ่มเอนเอียงเข้าใจเห็นใจเพศที่ 2 และ 3 มากผิดปกติ ข้าพเจ้าจึงอยากปรึกษาเพื่อนฝูงและมิตรสหายของข้าพเจ้าถึงความไม่แน่ใจในตัวของข้าพเจ้านี้ สุดท้ายนี้ท่านทั้งหลายคิดว่า "ข้าพเจ้าเป็นเกย์รึป่าวว่ะ"


ปล.แด่เพื่อนสาวทั้งหลาย Sex and the city เด็ดมากนะค่ะ ควรหามาดูเลย ถือว่าเป็นขั้นกว่าของ Devil wear prada เลยทีเดียว โดยเฉพาะชุดของสาว ๆ ทั้ง 4 คน เริ่ดมากค่ะ


ปล.(ที่2) หนังที่ข้าพเจ้าเอ่ยชื่อไปเป็นหนังที่ดีและสนุกมากควรลองหามาดูกัน และไม่ว่าจะเป็นหนังเกย์ หนังหญิงหลาย ๆ เรื่องต่างมีความเป็นหนังที่ดีอยู่มาก ทั้งสนุก สมบูรณ์และได้อรรถรส(รวมทั้งแง่คิดดี ๆ อีกเพียบ) ซึ่งผมนั้นเข้าใจในรสนิยมของแต่ละคน แต่กับแค่เรื่องหนังก็ลองหันมาดูหนังพวกนี้หน่อยเถอะครับ บางเรื่องมันอาจทำให้เราเข้าใจโลกมากขึ้นหรือแม้แต่หนังบางเรื่องมันอาจทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้นก็ได้ ลองดูกันเถอะนะครับไม่ตายหรอก . . .

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2551

ในที่สุดน้ำตาก็รินไหล ในที่สุดก็ร้องไห้ออกมา . . .


กลางดึกของคืนวันที่ 17 กันยายาน 2551 : บทสนทนาของอดีตกับความเปลี่ยนแปลง


อดีต : ขอเบอร์โทรศัพท์ได้ไหม

ความเปลี่ยนแปลง : ไม่ให้ เพราะเกรงใจแฟน

อดีต : มีแฟนแล้วว่างั้น

ความเปลี่ยนแปลง : อืม

อดีต : ขอโทษนะ

ความเปลี่ยนแปลง : ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษหรอก

อดีต : บางทีมันคงถึงเวลาที่เราต้องทำใจได้จริง ๆ แล้ว เราคงลืมเธอได้สักที ลาก่อนนะ

ความเปลี่ยนแปลง : เธอเลือกอย่างนี้เองนะ ตามใจ ลาก่อน บาย


นาทีต่อมา อดีตรู้สึกว่าเขาไม่มีความสำคัญอีกต่อไป ความฝันว่าสักวันเขากับความเปลี่ยนแปลงจะกลับมารักกัน แต่ความจริงที่พึ่งปรากฏเมื่อกี้ทำให้เขารู้ว่า ความเปลี่ยนแปลงได้เปลี่ยนไปตลอดกาล

อดีตอยากจะร้องไห้ แต่ร้องไห้ไม่ออก เหมือนมีก้อนบางอย่างจุกคาอยู่ที่คอหอยซึ่งกั้นอยู่ระหว่างหัวใจกับต่อมน้ำตา จึงทำให้หัวใจไม่สามารถสั่งการไปยังต่อมน้ำตาได้ อดีตอึดอัดแทบขาดใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี แต่แล้วสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนว่าอดีตจะลืมไปได้เข้ามาโอบอุ้มเขา และสิ่งนั้นคือเพื่อน ๆ ของเขานั่นเอง

เพื่อนคนแล้วคนเล่าเข้ามาปลอบโยน บางคนเป็นเพื่อนที่คุ้นเคยที่ยังคุยกันติดต่อกันอยู่เสมอ บางคนเป็นเพื่อนที่ห่างหายไปไม่ค่อยได้พบเจอแต่ก็ไม่เคยห่างหายจากความเป็นเพื่อนที่เคยมี ตลอดเวลา 24 ชั่วโมงหลังจากเกิดเหตุ อดีตได้รู้ว่า มีความห่วงใยอยู่รอบตัวเขามากมาย ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อดีของเรื่องแย่ๆ ที่เกิดขึ้น คือ ทำให้เขารู้ว่าตัวเขานั้นยังมีความหมาย

แต่จนแล้วจนรอดไม่ว่าอดีตจะทำอย่างไร น้ำตาก็ยังไม่อาจไหลออกมา ทั้ง ๆ ที่ตลอดเวลาเขาได้ฟังเพลงเศร้ามากมาย อ่อนไหวจากคำปลอบโยนของเพื่อน อ่อนแอจากการร่ำสุรา หรือทรมานกับความทรงจำของความเปลี่ยนแปลง แต่สุดท้ายอดีตก้อไม่ได้ร้องไห้ และแม้ว่าก้อนที่จุกอยู่ตรงคอหอยได้ละลายหายไป หัวใจของเขากลับมาสั่งการต่อมน้ำตาได้ดีดังเดิม . . . แต่ก้อไม่มีแม้น้ำตาสักหยด


วันต่อมา 18 กันยายน 2551 : ยามบ่าย อดีตกับTokyo Tower

อดีตนั่งดูภาพยนตร์เรื่อง Tokyo Tower หนังดี ๆ อีกเรื่องที่เพื่อนจูน(ขอบใจจูนมากอีกครั้งนะ)และเพื่อนหลายคนแนะนำให้หามาดู โตเกียวทาวเวอร์ ว่าด้วยเรื่องราวความสัมพันธ์ของลูกกับแม่คู่หนึ่ง แม่ผู้ซึ่งทำทุกอย่างได้เพื่อลูก แม่ผู้ซึ่งเป็นกำลังใจให้ลูกเสมอ กับลูกที่ไม่เคยเห็นความสำคัญของสิ่งเหล่านั้น จนมาคิดได้ในเวลาที่เกือบจะเป็นช่วงชีวิตสุดท้ายของแม่ โตเกียวทาเวอร์ ดำเนินเรื่องอย่างเรียบ ๆ เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ในเรื่องนั้นสามารถเกิดขึ้นกับชีวิตของใครก้อได้ หนังไม่ได้บิวอารมณ์ให้น้ำตาไหลกับฉากซึ้งที่เรียกน้ำตาแบบเอาตาย แต่หนังกลับมีฉากซึ้งเล็ก ๆ ที่มาเรียกน้ำตาได้เป็นระยะ ๆ และอีกสิ่งหนึ่งที่หนังบอกกับเราก็คือการใช้ชีวิตที่แสนยากลำบากของคนบ้านนอกที่เข้ามาตามความฝันในเมืองหลวง เมื่อดูโตเกียวทาวเวอร์จบ เขารักหนังเรื่องนี้มาก จนอยากจะหาเวลานั่งดูกับคุณแม่สักครั้ง(พร้อมกับคุณพ่อและน้องชายด้วย) และนอกจากความประทับใจที่โตเกียวทาวเวอร์มีให้กับอดีต โตเกียวทาวเวอร์ยังให้บางสิ่งบางอย่างกับเขา นั้นคือ . . . น้ำตา

โตเกียวทาวเวอร์ทำให้หัวใจของอดีตสั่งการไปยังต่อมน้ำตาได้อย่างดีเยี่ยม เขาร้องไห้ ร้องไห้ ร้องไห้ออกมาเรื่อย ๆ กับฉากซึ้งเล็ก ๆ เหล่านั้น น้ำตาที่เมื่อ 24 ชั่วโมงก่อน เขาพยายามร้องไห้ออกมาเท่าไร ก็ไม่มีแม้สักหยดไหลออกมา แต่โตเกียวทาวเวอร์ กลับทำได้ มันทำให้เขาสงสัยว่าทำไม หนังเรื่องเดียวถึงเรียกน้ำตาจากเขาได้ ทั้ง ๆ ที่ความเศร้าเสียใจที่เกิดขึ้นกับความเปลี่ยนแปลงมันทำร้ายเขาอย่างมากมายแต่เขากลับไม่มีน้ำตา

โตเกียวทาวเวอร์เป็นภาพสะท้อนของความรักที่เขาคุ้นเคยแต่หลงลืมมันไป และสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างความเปลี่ยนแปลงกับเขามันเป็นความผิดหวังจากความรักที่เขาเชื่อว่ามันจริง ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วความรักที่เขาหลงลืมมันไปต่างหากที่เป็นความจริงและเป็นนิรันดร์ มันคือความรักที่อยู่กับเขาเสมอ ความรักที่ไม่มีวันหมด ความรักที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง


ในที่สุดน้ำตาของอดีตก็รินไหล ในที่สุดอดีตก็ร้องไห้ออกมา แต่เป็นน้ำตาที่ออกมาจากความรัก ของผู้หญิงที่รักผมากที่สุดในโลก และอดีตก็รักเธอเช่นกัน

ผมรักแม่ครับ . . .



สุดท้ายนี้ตลอด 24 ชั่วโมงที่ผ่านผมขอขอบคุณ . . .

จูน:ที่แนะนำให้เราดู โตเกียวทาวเวอร์(จูนไม่เคยทำให้เราผิดหวังจริง ๆ ) , กราฟ: กับคำแนะนำดี ๆ (เพื่อสาวอยู่กับเราเสมอ), เพื่อนมนต์:ที่ทำให้รู้ว่าเราไม่ได้ซวยที่สุด (นายเป็นเพื่อนที่ดีของเราไม่เคยเปลี่ยน), ต้อง:ที่ทนฟังเรานอยมาทั้งวันและคำปรึกษาดี ๆ ที่ทำให้เราเห็นอะไรมากขึ้น (ถ้าไม่ได้ต้องเราคงผ่านพ้นมันไปได้ยากจริง ๆ ), ดลและแตง:ที่ไปทานเหล้าเป็นเพื่อน ทนฟังเรานอย และคำปรึกษาที่ตรงที่สุด, อาร์ทและแย้:ที่ทำให้เรารู้ว่าเรามีนายเป็นเพื่อนเสมอ, ความเปลี่ยนแปลง:เธอทำให้เรารู้และเข้าใจความเปลี่ยนแปลง, ขอบคุณโตเกียวทาวเวอร์ที่ทำให้นึกถึงความรักที่เป็นจริงนิจนิรันดร์ และสุดท้ายขอขอบคุณ คุณแม่กับความรักทั้งหมดที่คุณแม่ให้มา ลูกคนนี้จะทำทุกอย่างให้สมกับความรักของแม่ครับ . . .

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551

สวัสดี Blog ยินดีที่ได้รู้จัก นายกับเรา ต้องเจอกันอีกนาน . . .


สวัสดี Blog วันนี้เป็นวันแรกที่เราจะได้ทำความรู้จักกัน หลังจากที่เราได้แต่แอบมองนายมานาน คิดอยู่เสมอว่าจะกล่าวคำทักทายและเข้าไปทำความรู้จักกันอยู่หลายที แต่สุดท้ายก้อไม่กล้าที่จะทำความรู้จักกันสักที จนในที่สุดเพื่อน(จูน)ของเรา ได้ทำความรู้จักกับนาย เราเลยมีความกล้าที่จะมาทำความรู้จักกับนายบ้าง (แต่ที่จริงแล้วอิจฉาเพื่อนจูนที่มีBlogเป็นของตนเองมากกว่า) เราเลยจะมาทำความรู้จักกับนาย ให้นายเป็นเพื่อนของเราอีกคนหนึ่ง เพื่อนที่เราจะจริงใจ เพื่อนที่เราจะบอกเล่าทุกความรู้สึกที่มี และเป็นเพื่อนที่จะทำให้เราได้รู้จักเพื่อนอีกมากมาย แต่ก่อนที่เราจะบอกเล่าเรื่องราวใด ใดของเราต่อจากนี้ไป เราอยากจะแนะนำตัวให้นายได้รู้จักเรา เพื่อให้นายได้พิจารณา(เผื่อนายจะคิดได้ว่า กูไม่น่ารู้จักมึงเลย) และนี่คือเรื่องราวบางส่วนของเรา เพื่อนใหม่ของนายคนนี้ . . .


เราชื่อ Sick Boy ซึ่งเราได้มาจากการทำแบบทดสอบของนวนิยาย Trainsportting ซึ่งก่อนที่จะใช้ชื่อ เด็กป่วยนี้ เราเคยใช้ชื่อว่าจุนเซ (ตัวละครจากนวนิยายเรื่อง Blu เยือกเย็น) มาก่อน สิ่งหนึ่งที่เด็กป่วยและจุนเซเหมือนกันคือ ทั้งสองคนนี้มีส่วนคล้ายกับตัวเรา เด็กป่วยอาจเปรียบได้กับด้านมืดของเรา เจ้าชู้ เจ้าเล่ห์ จ้าวความคิด ชอบทำตัวป่วย ๆ ไว้อ้อนสาว ๆ ส่วนจุนเซอาจคล้ายกับด้านสว่างของเรา เชื่อมั่นในความรัก อยากกลับไปซ่อมอดีตของตัวเอง อ่อนไหว จนบางครั้งอ่อนแอ เราอ่านเรื่องสั้นและนวนิยายมามากมายหลายเรื่อง แต่ 2 คนนี้เป็น 2 คนที่เรารู้สึกว่าเหมือนตัวเรามากที่สุด โดยเฉพาะจุนเซ จุนเซทำให้เราอยากรอคอยใครสักคนหนึ่งเหมือนกับเค้า . . . รอคอยใครสักคน ณ ที่ของเรา ในวันเกิดครบรอบปีที่ 30 ของเธอ . . . (เสี่ยวแด้กป่ะล่ะ)

เวลาว่างของเรา เราใช้สอยมันไปกับ 3 กิจกกรรม นั่นคือการดูหนัง อ่านหนังสือ และก้อทานเหล้า[แต่อย่าให้เหล้าทานคุณนะครับ(เสี่ยวแด้กอีกครั้ง)] ซึ่งเราจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการกิจกรรมทั้ง 3 อย่างแน่นอนในโอกาสต่อ ๆ ไปนะครับ แต่ในเวลาที่เราไม่ว่างเราใช้เวลาเหล่านั้นไปกับการทำ thesis สิ่งที่จะทำให้เรากล่าวเข้าไปสู่อีกโลกที่เราเคยคาดฝันว่าจะเข้าไปและทำให้เราเปลี่ยนเป็นคนใหม่อย่างที่ไม่เคยเป็นมา เพราะthesisคือบททดสอบของชีวิต เราเสือกที่จะพบกับมันเองและมันก้อดันไม่ปล่อยให้เราผ่านไปอย่างง่ายได้ แต่สุดท้ายปลายทางเราเชื่อนะ เราเชื่อว่า เราจะผ่านพ้นมันไปได้ด้วยดี(เป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ)

สุดท้ายนี้(เพราะง่วงแล้น) นับต่อจากนี้ไปเราจะทำความรู้จักกันให้มากขึ้นผ่านเรื่องราวต่าง ๆ ที่เราจะบอกกับนาย เราสัญญาว่าเราจะบอกเล่าเรื่องเหล่านั้นอย่างจริงใจและซื่อสัตย์ เพราะการโกหกนาย(Blog)ก้อเหมือนกับการที่เราโกหกตัวเอง


!!!แต่ก่อนจะจากกันไปเรามีอะไรจะสารภาพกับนาย เราโกหก!!! ที่จริงแล้วเราไม่ได้อยากทำความรู้จักกับนายเพราะเราอยากมีBlogหรอก ที่จริงแล้ว เราเหงา . . . เราไม่รู้จะบอกเล่าเรื่องราวเล่านี้กับใคร เราเพียงหวังงว่านายอาจจะอยากรับฟังเรื่องราวเหล่านี้ของเรา เพราะว่าเรารู้สึกเหงา เหงาอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายเพียงใดหรือแม้แต่กับผู้คนที่เรารักและรักเราก็ตาม แต่เรากลับรู้สึกว่าคนที่เรารักหายไปหมด จนวันหนึ่งที่เรามองไปรอบข้างเราไม่มีใครอยู่เคียงข้างเราอีกแล้ว เรากำลังอยู่คนเดียว . . . อยู่คนเดียวบนโลกที่เราไม่มีความหมายใดใด