วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ตี 2 นอนไม่หลับ


ตี 2 นอนไม่หลับ แต่ไม่ได้เหงา

ตี 2 นอนไม่หลับ แต่ไม่ได้คิดถึงใคร

ตี 2 นอนไม่หลับ แค่มาเขียน blog เฉย ๆ

ตี 2 นอนไม่หลับ กำลังฟังเพลง ฝัน หวาน อาย จูบ

ตี 2 นอนไม่หลับ เพิ่งกลับมาจากดูหนังเรื่อง Australia

ตี 2 นอนไม่หลับ คิดอยากให้มีหนังชื่อ Thailand

ตี 2 นอนไม่หลับ เลยคิดไปว่า จะเป็นอย่างไร ถ้าหนุ่มที่เป็นเสื้อแดงเพราะครอบครัวและไม่เต็มใจ ต้องมาพบรักกับสาวเสื้อเหลืองที่มุ่งมั่นในอุดมการณ์ ณ วันที่เกิดการปะทะกัน

ตี 2 นอนไม่หลับ นึกขึ้นได้ว่า ไม่น่าดื่มกาแฟเลย

ตี 2 นอนไม่หลับ และเริ่มคิดถึงใครหลาย ๆ คน

ตี 2 นอนไม่หลับ กำลังคิดถึงคนที่เรารัก ที่เราชอบ คนที่เรามีเส้นชีวิตที่ตัดกัน ให้มาพบเจอกัน

ตี 2 นอนไม่หลับ สงสัยว่าทำไมเราถึงไม่อาจอยู่กับคนที่ผ่านมาพบกันได้ตลอดไป

ตี 2 นอนไม่หลับ และได้คำตอบว่า คนที่ไม่ใช่ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ใช่

ตี 2 นอนไม่หลับ ยังคงเขียนอะไรไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีจุดหมาย

ตี 2 นอนไม่หลับ เลยเปิด web ข่าวบันเทิง ภาพหลุดดารา

ตี 2 นอนไม่หลับ รู้สึกตัวเองว่า เบื่อนมอั้ม ดูจนตอนนี้ไม่ตื่นเต้นแล้ว

ตี 2 นอนไม่หลับ กำลังคิดอยู่ว่าจะ ฟังเพลงอะไรต่อไปดี

ตี 2 นอนไม่หลับ เลือกฟังอัลบั้ม Smooth Jazz อะไรสักอย่าง

ตี 2 นอนไม่หลับ กำลังคิดถึงคนที่อยากลืม

ตี 2 นอนไม่หลับ อยากเจอคนที่อยากลืม แค่อยากรู้ว่า เจอแล้วจะนอยอีกไหม

ตี 2 นอนไม่หลับ ไม่อยากเจอหน้าคนที่ไม่ชอบบางคนอีกเลย

ตี 2 นอนไม่หลับ ฉันคิดถึงเธอ

ตี 2 นอนไม่หลับ แต่อยากรู้ว่าใครใช้คำว่า นอย คนแรก

ตี 2 นอนไม่หลับ วันนี้มันวันคริสมาสต์ นี่หว่า

ตี 2 นอนไม่หลับ List ใน Msn มี 2 คนที่น่ายังไม่นอนเหมือนเรา คือ เพื่อนฮ้ง กับน้องแนน

ตี 2 นอนไม่หลับ ดูนาฬิกาจะตี 2 ครึ่งแล้ว

ตี 2 นอนไม่หลับ เริ่มจะรู้สึกเหงาแล้วซิ

ตี 2 นอนไม่หลับ จะมีคนนอนไม่หลับกี่คนตอนนี้

ตี 2 นอนไม่หลับ คิดถึงเธอ

ตี 2 นอนไม่หลับ นอนไม่หลับ นอนไม่หลับ นอนไม่หลับ นอนไม่หลับ นอนไม่. . . นอน . . .

ตี 2 ก่อนที่จะนอนหลับ อยากบอกเธอ บอกเพื่อน บอกคนรู้จัก บอกคนที่เคยพานพบเมื่ออดีต บอกคนที่กำลังจะพบกันเมื่อเส้นทางชีวิตเราตัดกัน บอกโลก บอกจักรวาล บอกความว่างเปล่า . . .

ราตรีสวัสดิ์


วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เมื่อมีรอยยิ้ม เราต่างเหมือนกัน


เมื่อวันที่ 19 และ 20 ธันวาคมที่ผ่านมาข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปเที่ยวชมงาน Bangkok street show ถึงแม้ข้าพเจ้าจะไปงานนี้ถึง 2 วันแต่ก็ได้ดูโชว์เพียงไม่กี่โชว์เท่านั้น เนื่องจากมีคนไปเที่ยวชมงานนี้เยอะมากและเวทีแต่ล่ะเวทีนั้นอยู่ไกลกันพอสมควรแม้ไม่ไกลมากแต่ถ้าจะเดินดูให้ทั่วนั้นก็เมื่อยอยู่ ดังนั้นการที่จะดูโชว์ให้ครบทุกโชว์นั้นเป็นเรื่องยาก และถึงแม้ข้าพเจ้าจะพลาดโชว์ที่อยากดูไปหลายโชว์ แต่ก็ยังมีอีกหลายโชว์ที่ข้าพเจ้านั้นประทับใจ และยังมีอีกอย่างที่ข้าพเจ้าประทับใจที่สุด นั่นคือ รอยยิ้ม

งาน Bangkok street show คราวนี้ผู้แสดงกว่า 80% เป็นชาวต่างชาติ ดังนั้นเรื่องการสื่อสารกันด้วยภาษาพูดนั้นเป็นเรื่องที่แทบจะลืมได้เลย และยิ่งกับเด็ก ๆ ที่ดูอยู่ด้วยแล้วการสื่อสารกันด้วยภาษาพูดยิ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ทุก ๆ โชว์ที่แสดงในงานนี้มีสิ่งที่เหมือน ๆ กันอยู่ นั่นคือ มายากล กายกรรม ศิลปะ และรอยยิ้ม ไม่ว่าจะเป็นมากยากลหรือกายกรรมต่างสร้างความตื่นตาตื่นใจ และความพิศวงให้กับผู้ชม ศิลปะการแสดงละครใบ้ซึ่งความเพลิดเพลินและเสียงหัวเราะให้กับผู้ชม และสุดท้ายรอยยิ้มซึ่งทั้งนักแสดงและผู้ชมต่างมอบให้แก่กัน และเมื่อเอาทุกสิ่งทุกอย่างมารวมกัน กำแพงด้านภาษาและความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติต่างถูกทลายไป สิ่งที่เหลืออยู่คือความสุขและรอยยิ้มที่มีอยู่ทั่วทุกที่ในสวนลุม

ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าอ่าน โตเกียวไม่มีขา ข้าพเจ้ามักสงสัยอยู่เสมอ พื้นที่ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างดิสย์นีแลนด์ตามที่พี่นิ้วกลมพูดนั้นเป็นอย่างไร แต่พอมางานนนี้ข้าพเจ้าถึงเข้าใจและเห็นภาพว่า ทุก ๆ ที่ที่มีแต่รอยยิ้มเป็นอย่างนี้นี่เอง ข้าพเจ้ามีความสุขกับงาน Bangkok street show ครั้งนี้มาก และหวังว่าจะมีครั้งต่อ ๆ ไป
สุดท้ายไม่ว่าจะเป็นคนเชื้อชาติไหน ศาสนาอะไร หรือแม้แต่พูดภาษาอะไรก็ตาม เราต่างเป็นพวกเดียวกันและพูดภาษาเดียวกันด้วยรอยยิ้ม

ปล. คณะ babymime สุดยอดมากกกกกกก . . . อยากให้ทุก ๆ คนได้ชมโชว์ของพวกเขา และรู้จักพวกพี่ ๆ เขาได้ที่ http://www.vrbabymime.com/

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา


เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงาเหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา เหงา และเหงา

เมื่อเหงาแล้วต้องทำไง เมื่อเหงาแล้วจะอธิบายมันอย่างไร เหงาแบบไหน เหงาแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วมันก็คือ เหงา

ข้าพเจ้ามีเพื่อนมากมาย และเวลาว่างของข้าพเจ้าก้อมีมากมายเช่นเดียวกัน แต่เพื่อนของข้าพเจ้าไม่มีได้มีเวลาว่างเช่นเดียวกับข้าพเจ้า จึงทำให้ข้าพเจ้าต้องทำอะไรเพียงผู้เดียวอยู่เสมอ ซึ่งข้อดีของมันคือมันไม่ต้องง้อใคร อยากทำอะไรก้อทำ แต่ข้อเสียของมันคือ เหงาฉิบหาย เหงา เหงาเกินไป เหงาจนบางวันข้าพเจ้าไม่ได้คุยกับใครเลย นอกจากพนักงานขายเท่านั้นเอง

บางวันที่ข้าพเจ้าเหงาจนอยู่บ้านไม่ได้ ข้าพเจ้าจะออกไปสยามทานข้าวคนเดียว ดูหนังคนเดียวสักเรื่อง นั่งอ่านหนังสือ+ดื่มกาแฟคนเดียว และสุดท้ายกลับบ้านคนเดียว จนบางคืนก่อนนอนก็ได้แต่นอนคิดว่า ชีวิตเราเหงาเกินไปไหม และเรามีตัวตนบ้างไหมกับคนอื่น ๆ

กับคำถามแรกข้าพเจ้าสามารถตอบได้ ชีวิตเรานั้นเหงาเกินไปแต่กับอีกคำถามคงไม่สามารถตอบได้ เพราะตัวตนของข้าพเจ้าในความรู้สึกคนอื่นคงต้องให้เขาตอบให้

สุดท้ายแล้วข้าพเจ้าหวังว่า คงไม่ใช่คนเดียวในโลกที่เหงาเกินไป คงมีอีกหลายคนกำลังเหงาเกินไปพร้อม ๆ กับข้าพเจ้า และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงข้าพเจ้าคงมีเพื่อนร่วมเหงาไปด้วยกัน ขอให้เราเหงาไปด้วยกัน

แต่ก่อนที่จะไป ว่าแต่ว่า ข้าพเจ้ามีตัวตนบ้างไหมกับชีวิตของคุณ . . . .

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เทศกาลงานศพ (Funeral Festival)


ช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านผมไปงานศพมา 3 งาน และแค่ปีนี้เพียงปีเดียว ข้าพเจ้าไปงานศพมากกว่าตลอด 3 ปีที่ผ่านมา โดยที่งานแรกเป็นงานคุณยายข้างบ้าน งานที่สองเป็นงานของคุณลุง และงานที่สามเป็นงานของบิดาของเพื่อนสนิท ทุกงานที่ไปมีรูปแบบการจัดงานที่ต่างกัน งานแรกเป็นการจัดแบบไทย งานที่สองเป็นการจัดแบบไทยกึ่งจีน และงานสุดท้ายเป็นการจัดที่ดูเป็นพิธีการและทางการมากที่สุด เพราะบิดาของเพื่อนของข้าพเจ้า ท่านเป็นนายทหาร (ที่มีเกียรติและทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ) แต่ที่ทุกงานศพที่ไปนั้นมีสิ่งที่เหมือนกันคือความเศร้า การพลัดพราก และมารยาท . . . แต่หาใช่ข้าพเจ้าจะเกิดความรู้สึกเหล่านั้นในทุกงานไม่ และงานที่ข้าพเจ้ากับมีความรู้สึกมากที่สุดคืองานสุดท้าย ทั้ง ๆ ที่ข้าพเจ้าพบเจอบิดาของเพื่อนสนิทไม่ถึง 10 ครั้ง

นั่นอาจเป็นเพราะข้าพเจ้าผูกพันกับเพื่อนคนนี้มาตลอด 7 ปี มันเป็นเพื่อนไม่กี่คนของข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้าสามารถพูดคุยได้ทุกเรื่องราว และเป็นเพื่อนที่ข้าพเจ้าร่ำสุราและปรับทุกข์มากที่สุดตลอด 3 -4 ปีที่ผ่านมา และเป็นครั้งที่สองที่ข้าพเจ้ามีเพื่อนสนิทที่ต้องสูญเสียบิดา (ครั้งแรกเกิดขึ้นตอน ม.2 ซึ่งข้าพเจ้ายังไม่รู้ความเท่าไรนัก) แต่กับครั้งที่สองครั้งนี้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าความตายมันช่างใกล้ตัวเรานัก คนที่ข้าพเจ้าพบเจอเป็นประจำ ผูกพัน และมีความเป็นเพื่อนให้แก่กัน ต้องเกิดความสูญเสียที่หนักหนาที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ข้าพเจ้าเป็นห่วงเพื่อนคนนี้ยิ่งนัก และพยายามทำดีที่สุดเท่าที่เพื่อนคนหนึ่งจะทำได้ แต่ถ้าบอกว่า เข้าใจมันไหม ข้าพเจ้าคงบอกไม่ได้ และข้าพเจ้าคงไม่สามารถบอกมันได้ว่า อย่าเศร้าและเสียใจ แต่สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าบอก ข้าพเจ้าคงเพียงได้แต่อยู่เป็นเพื่อนมัน

ข้าพเจ้าไปงานศพคุณยายข้างบ้าน 3 วัน งานศพคุณลุง 4 วันและงานศพบิดาของเพื่อน 6 วัน ข้าพเจ้ารู้ว่า ข้าพเจ้าไม่มีความจำเป็นต้องไปงานศพบิดาของเพื่อนถึง 6 วัน และข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าไม่ได้มีความสำคัญอะไรในงานศพนั้น แต่ที่ข้าพเจ้าไปเพราะนั่นคืองานศพของบิดาของเพื่อน ครอบครัวของเพื่อนได้สูญเสียคร้งยิ่งใหญ่ไป และเพื่อนของข้าพเจ้าได้สูญเสียบิดาไปตลอดกาล ข้าพเจ้าไปเพราะเพื่อนข้าพเจ้า

ยิ่งข้าพเจ้าไปงานศพติดต่อกัน ข้าพเจ้ายิ่งหดหู่ ยิ่งไปยิ่งรู้สึกเศร้า แต่ข้าพเจ้าไปงานศพบ่อยกว่างานวันเกิด เพราะข้าพเจ้าเชื่อว่า งานศพคือเวลาที่คนที่เรารักและผูกพันต้องการกำลังใจ มากกว่า คำว่า Happy Birth Day ในงานวันเกิด

ความตายดำรงอยู่ มิใช่ภาคตรงข้าม หากเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2551

15 วันที่ยาวนานและเหนื่อยล้า แต่มันเป็นแค่จุดเริ่มต้น


15 วัน ยาวนานเหมือนไม่มีวันจบ เริ่มตั้งแต่สถานการณ์เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่สามารถเอาแน่เอานอนอะไรได้ ว่า ท่านอาจารย์ตกลงจะรับเป็นที่ปรึกษาให้กับข้าพเจ้าและเพื่อนผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกัน ในที่สุดเมื่อท่านอาจารย์ตกลงรับพวกเราแล้ว ความหฤหรรษ์จึงได้เริ่มขึ้น เมื่อพวกเราต้องทำสิ่งที่คนอื่นทำ 3 เดือน เสร็จภายในเวลา 3 วัน ซึ่งในที่สุดพวกเราก็ทำได้ (บางคนในพวกเรา ใช้เวลาเพียง 13 ชั่วโมง)ซึ่งเราต้องเดินทางไกลไปมอบงานชิ้นนี้ให้กับอาจารย์กรรมการสอบที่แสนใจดีของเรา แต่ระยะทางช่างไกลแสนไกล แต่ก็ดั้นด้นจนไปถึง

หลังจากนั้นพวกเราต้องทำการ presentงานร้อนของพวกเรา แล้วเซอร์ไพรซ์ของเราก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เมื่องานร้อนของพวกเราต้องแปรเปลี่ยนไปเเป็นอีกแบบที่พวกเราไม่เคยคาดฝันว่ามันจะเป็นได้ถึงขนาดนี้ ประมาณว่าเรื่องเราแค่ 1 แต่พอถึงมือท่านอาจารย์ทั้ง 3 ท่าน (ท่านอาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์กรรมการสอบ และท่านอาจารย์ประธานสอบ) เรื่องของพวกเรากลายเป็น 10 และมากกว่า 10 แล้วแต่ใครจะโดนไป ซึ่งตัวข้าพเจ้าเองก็ไปไกลจนท่านอาจารย์บอกว่า ใช้เวลาอ่านทฤษฎีอย่างเดียวก็ปีหนึ่งแล้ว (งานเข้าซิครับทีเนี้ย) แต่เมื่อพวกเราทั้งหมด present เสร็จเรียบร้อยต้องพบกับความจริงที่รออยู่ คือเราต้องส่งงานร้อนกว่าของเราในอีก2 วันต่อมา . . . ซึ่งมันคือวันพรุ่งนี้

15 วันช่างยาวนานเหลือเกินสำหรับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่าจะเหนื่อยขนาดนี้ และไม่คิดว่าจะผ่านพ้นมันมาได้ แต่ในที่สุดข้าพเจ้าก้อผ่านพ้นมา แต่มันหาใช่จุดจบไม่ แต่มันคือจุดเริ่มต้นต่างหาก จุดเริ่มต้น . . . ของตวามเหนื่อยยากที่ยาวนาน ที่ไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อไร แต่ข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าจะผ่านพ้นมันไปได้อีกครั้ง . . .

วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551

Queer Film for straight guy (!! Help me !! i'm not sure)


2 บทความที่ผ่านมาข้าพเจ้าเขียนมันด้วยอารมณ์ความรู้สึกล้วน ๆ ไม่ว่าจะเป็นบทความแรกที่เขียนด้วยอารมณ์เหงา ส่วนบทความที่สองเขียนด้วยความรู้สึกที่แปลกใจกับตนเองที่พยายามร้องไห้มาตลอดทั้งวันกับเรื่องที่เรารู้สึกว่ามันหนักหนามากมายจนต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ แต่เรากลับมาร้องไห้อย่างง่ายดายเพียงแค่หนังชื่อโตเกียวทาวเวอร์ ซึ่งอาจจะทำให้บทความแรกและบทความที่สองมีความบกพร่องทางด้านสำนวน การเล่าเรื่องและแม้แต่จุดอ่อนที่แก้ไม่หายคือการสะกดคำ แต่พอมาถึงบทความที่สามข้าพเจ้ากับมีความคิดไตร่ตรองอยู่นานว่า ข้าพเจ้าจะบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ดีไหม ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ล่อแหลมและชวนเกิดความสงสัยในตัวข้าพเจ้าอย่างยิ่ง แต่เมื่อข้าพเจ้าคิดแล้วคิดอีก ข้าพเจ้าคิดได้ว่า ข้าพเจ้าไม่อาจเก็บเรื่องราวนี้ไว้กับตัวได้อีกต่อไปแล้ว จึงเขียนบทความนี้อย่างไตร่ตรองและระมัดระวังเพื่อกันความเข้าใจผิดหรือความคลาดเคลื่อนในตัวข้าพเจ้า และข้าพเจ้ายังเขียนขึ้นมาเพื่อระบายความในใจเผื่อมีผู้หวังดีสามารถไขข้อข้องใจข้อนี้ของข้าพเจ้า นั่นคือ . . . ช่วงนี้ชอบดูChick Film กับ Queer Film "กูเป็นเกย็รึป่าวว่ะ"


ข้าพเจ้าเชื่อเสมอว่า การดูหนังเกย์และหนังผู้หญิ่ง ผู้หญิง ไม่ได้หมายความว่า ข้าพเจ้านั้นเป็น . . .เกย์ (ยากเหลือเกินที่จะเอ่ยคำนี้ออกมา) แต่เมื่อข้าพเจ้าได้อ่าน Starpic เล่มล่าสุดที่ว่าด้วยหนังของเกย์ มีหนังหลายเรื่องมากที่เป็นหนังติดอันดับของเกย์และดันเสือกเป็นหนังเรื่องโปรดของข้าพเจ้า (ซึ่งข้าพเจ้าไม่อาจเอ่ยนามได้หมดเพราะเยอะมากและเกย์มาก) ซึ่งมันทำให้ข้าพเจ้าหวั่นไหว ข้าพเจ้ายอมรับว่าหนังเหล่านั้นมันโคตรเกย์ ข้าพเจ้าจึงปลอบใจตนเองด้วยการบอกว่า ยังมีหนังโคตรแมนและโคตรแนวหลายเรื่องที่ข้าพเจ้ารัก (รักมีขั้นสูงกว่าโปรดปราน ข้าพเจ้าเริ่มมั่นใจในความเป็นแมนของตนมากขึ้น) แต่เมื่อข้าพเจ้ากลับมาสังเกตตนเองอีกทีระยะสองปีหลังที่ผ่านมาข้าพเจ้าดูหนังพวกนี้มากกว่าช่วงชีวิตทั้งหมดของข้าพเจ้า ซึ่งจุดเริ่มต้นมันมาจาก หุบเขาแห่งนั้น หุบเขาBrokeBack หุบเขาเร้นรัก . . . (ถ้าอ่านตอนฟังดนตรีประกอบของหนังจะได้อารมณ์มาก)

หนังหุบเขาเร้นรักเรื่องนี้ทำให้น้ำตาของข้าพเจ้าไหลซึมออกมาในความรักของพวกเขา แม้บางฉากข้าพเจ้าจะปิดตาดูราวกับดูหนังสยองขวัญอยู่ก็ตามและข้าพเจ้าก็โปรดปรานหนังเรื่องนี้มาก เป็นหนังอีกเรื่องที่ข้าพเจ้าประทับใจ และหลังจากนั้นข้าพเจ้าก็เริ่มดูหนังเกย์มากขึ้นซึ่งมีทั้งประทับใจและไม่ประทับใจปะปนกันไป(แต่ส่วนใหญ่ข้าพเจ้าประทับใจนะ) จนเมื่อหนังเกย์ที่พอหาได้หมดข้าพเจ้าเริ่มหาหนังผู้หญิงมาดูซึ่งส่วนใหญ่ข้าพเจ้าประทับใจไม่ว่าจะเป็น Pride and prejudice(2รอบ), Dream Girl (2รอบ+soundtrack) หรือล่าสุด Sex and The city (ชอบมากจนจะหาตอนเป็นซีรีย์มาดู) etc.

ด้วยตัวอย่างและเหตุการณ์ทั้งที่ข้าพเจ้ากล่าวมามันทำให้ข้าพเจ้าเริ่มไม่แน่ใจในความเป็นบุรุษเพศของตนเอง เพราะข้าพเจ้ามักอินในหนังเหล่านี้จนเกินงาม เกิดความประทับใจและเริ่มเอนเอียงเข้าใจเห็นใจเพศที่ 2 และ 3 มากผิดปกติ ข้าพเจ้าจึงอยากปรึกษาเพื่อนฝูงและมิตรสหายของข้าพเจ้าถึงความไม่แน่ใจในตัวของข้าพเจ้านี้ สุดท้ายนี้ท่านทั้งหลายคิดว่า "ข้าพเจ้าเป็นเกย์รึป่าวว่ะ"


ปล.แด่เพื่อนสาวทั้งหลาย Sex and the city เด็ดมากนะค่ะ ควรหามาดูเลย ถือว่าเป็นขั้นกว่าของ Devil wear prada เลยทีเดียว โดยเฉพาะชุดของสาว ๆ ทั้ง 4 คน เริ่ดมากค่ะ


ปล.(ที่2) หนังที่ข้าพเจ้าเอ่ยชื่อไปเป็นหนังที่ดีและสนุกมากควรลองหามาดูกัน และไม่ว่าจะเป็นหนังเกย์ หนังหญิงหลาย ๆ เรื่องต่างมีความเป็นหนังที่ดีอยู่มาก ทั้งสนุก สมบูรณ์และได้อรรถรส(รวมทั้งแง่คิดดี ๆ อีกเพียบ) ซึ่งผมนั้นเข้าใจในรสนิยมของแต่ละคน แต่กับแค่เรื่องหนังก็ลองหันมาดูหนังพวกนี้หน่อยเถอะครับ บางเรื่องมันอาจทำให้เราเข้าใจโลกมากขึ้นหรือแม้แต่หนังบางเรื่องมันอาจทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้นก็ได้ ลองดูกันเถอะนะครับไม่ตายหรอก . . .

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2551

ในที่สุดน้ำตาก็รินไหล ในที่สุดก็ร้องไห้ออกมา . . .


กลางดึกของคืนวันที่ 17 กันยายาน 2551 : บทสนทนาของอดีตกับความเปลี่ยนแปลง


อดีต : ขอเบอร์โทรศัพท์ได้ไหม

ความเปลี่ยนแปลง : ไม่ให้ เพราะเกรงใจแฟน

อดีต : มีแฟนแล้วว่างั้น

ความเปลี่ยนแปลง : อืม

อดีต : ขอโทษนะ

ความเปลี่ยนแปลง : ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษหรอก

อดีต : บางทีมันคงถึงเวลาที่เราต้องทำใจได้จริง ๆ แล้ว เราคงลืมเธอได้สักที ลาก่อนนะ

ความเปลี่ยนแปลง : เธอเลือกอย่างนี้เองนะ ตามใจ ลาก่อน บาย


นาทีต่อมา อดีตรู้สึกว่าเขาไม่มีความสำคัญอีกต่อไป ความฝันว่าสักวันเขากับความเปลี่ยนแปลงจะกลับมารักกัน แต่ความจริงที่พึ่งปรากฏเมื่อกี้ทำให้เขารู้ว่า ความเปลี่ยนแปลงได้เปลี่ยนไปตลอดกาล

อดีตอยากจะร้องไห้ แต่ร้องไห้ไม่ออก เหมือนมีก้อนบางอย่างจุกคาอยู่ที่คอหอยซึ่งกั้นอยู่ระหว่างหัวใจกับต่อมน้ำตา จึงทำให้หัวใจไม่สามารถสั่งการไปยังต่อมน้ำตาได้ อดีตอึดอัดแทบขาดใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี แต่แล้วสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนว่าอดีตจะลืมไปได้เข้ามาโอบอุ้มเขา และสิ่งนั้นคือเพื่อน ๆ ของเขานั่นเอง

เพื่อนคนแล้วคนเล่าเข้ามาปลอบโยน บางคนเป็นเพื่อนที่คุ้นเคยที่ยังคุยกันติดต่อกันอยู่เสมอ บางคนเป็นเพื่อนที่ห่างหายไปไม่ค่อยได้พบเจอแต่ก็ไม่เคยห่างหายจากความเป็นเพื่อนที่เคยมี ตลอดเวลา 24 ชั่วโมงหลังจากเกิดเหตุ อดีตได้รู้ว่า มีความห่วงใยอยู่รอบตัวเขามากมาย ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อดีของเรื่องแย่ๆ ที่เกิดขึ้น คือ ทำให้เขารู้ว่าตัวเขานั้นยังมีความหมาย

แต่จนแล้วจนรอดไม่ว่าอดีตจะทำอย่างไร น้ำตาก็ยังไม่อาจไหลออกมา ทั้ง ๆ ที่ตลอดเวลาเขาได้ฟังเพลงเศร้ามากมาย อ่อนไหวจากคำปลอบโยนของเพื่อน อ่อนแอจากการร่ำสุรา หรือทรมานกับความทรงจำของความเปลี่ยนแปลง แต่สุดท้ายอดีตก้อไม่ได้ร้องไห้ และแม้ว่าก้อนที่จุกอยู่ตรงคอหอยได้ละลายหายไป หัวใจของเขากลับมาสั่งการต่อมน้ำตาได้ดีดังเดิม . . . แต่ก้อไม่มีแม้น้ำตาสักหยด


วันต่อมา 18 กันยายน 2551 : ยามบ่าย อดีตกับTokyo Tower

อดีตนั่งดูภาพยนตร์เรื่อง Tokyo Tower หนังดี ๆ อีกเรื่องที่เพื่อนจูน(ขอบใจจูนมากอีกครั้งนะ)และเพื่อนหลายคนแนะนำให้หามาดู โตเกียวทาวเวอร์ ว่าด้วยเรื่องราวความสัมพันธ์ของลูกกับแม่คู่หนึ่ง แม่ผู้ซึ่งทำทุกอย่างได้เพื่อลูก แม่ผู้ซึ่งเป็นกำลังใจให้ลูกเสมอ กับลูกที่ไม่เคยเห็นความสำคัญของสิ่งเหล่านั้น จนมาคิดได้ในเวลาที่เกือบจะเป็นช่วงชีวิตสุดท้ายของแม่ โตเกียวทาเวอร์ ดำเนินเรื่องอย่างเรียบ ๆ เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ในเรื่องนั้นสามารถเกิดขึ้นกับชีวิตของใครก้อได้ หนังไม่ได้บิวอารมณ์ให้น้ำตาไหลกับฉากซึ้งที่เรียกน้ำตาแบบเอาตาย แต่หนังกลับมีฉากซึ้งเล็ก ๆ ที่มาเรียกน้ำตาได้เป็นระยะ ๆ และอีกสิ่งหนึ่งที่หนังบอกกับเราก็คือการใช้ชีวิตที่แสนยากลำบากของคนบ้านนอกที่เข้ามาตามความฝันในเมืองหลวง เมื่อดูโตเกียวทาวเวอร์จบ เขารักหนังเรื่องนี้มาก จนอยากจะหาเวลานั่งดูกับคุณแม่สักครั้ง(พร้อมกับคุณพ่อและน้องชายด้วย) และนอกจากความประทับใจที่โตเกียวทาวเวอร์มีให้กับอดีต โตเกียวทาวเวอร์ยังให้บางสิ่งบางอย่างกับเขา นั้นคือ . . . น้ำตา

โตเกียวทาวเวอร์ทำให้หัวใจของอดีตสั่งการไปยังต่อมน้ำตาได้อย่างดีเยี่ยม เขาร้องไห้ ร้องไห้ ร้องไห้ออกมาเรื่อย ๆ กับฉากซึ้งเล็ก ๆ เหล่านั้น น้ำตาที่เมื่อ 24 ชั่วโมงก่อน เขาพยายามร้องไห้ออกมาเท่าไร ก็ไม่มีแม้สักหยดไหลออกมา แต่โตเกียวทาวเวอร์ กลับทำได้ มันทำให้เขาสงสัยว่าทำไม หนังเรื่องเดียวถึงเรียกน้ำตาจากเขาได้ ทั้ง ๆ ที่ความเศร้าเสียใจที่เกิดขึ้นกับความเปลี่ยนแปลงมันทำร้ายเขาอย่างมากมายแต่เขากลับไม่มีน้ำตา

โตเกียวทาวเวอร์เป็นภาพสะท้อนของความรักที่เขาคุ้นเคยแต่หลงลืมมันไป และสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างความเปลี่ยนแปลงกับเขามันเป็นความผิดหวังจากความรักที่เขาเชื่อว่ามันจริง ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วความรักที่เขาหลงลืมมันไปต่างหากที่เป็นความจริงและเป็นนิรันดร์ มันคือความรักที่อยู่กับเขาเสมอ ความรักที่ไม่มีวันหมด ความรักที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง


ในที่สุดน้ำตาของอดีตก็รินไหล ในที่สุดอดีตก็ร้องไห้ออกมา แต่เป็นน้ำตาที่ออกมาจากความรัก ของผู้หญิงที่รักผมากที่สุดในโลก และอดีตก็รักเธอเช่นกัน

ผมรักแม่ครับ . . .



สุดท้ายนี้ตลอด 24 ชั่วโมงที่ผ่านผมขอขอบคุณ . . .

จูน:ที่แนะนำให้เราดู โตเกียวทาวเวอร์(จูนไม่เคยทำให้เราผิดหวังจริง ๆ ) , กราฟ: กับคำแนะนำดี ๆ (เพื่อสาวอยู่กับเราเสมอ), เพื่อนมนต์:ที่ทำให้รู้ว่าเราไม่ได้ซวยที่สุด (นายเป็นเพื่อนที่ดีของเราไม่เคยเปลี่ยน), ต้อง:ที่ทนฟังเรานอยมาทั้งวันและคำปรึกษาดี ๆ ที่ทำให้เราเห็นอะไรมากขึ้น (ถ้าไม่ได้ต้องเราคงผ่านพ้นมันไปได้ยากจริง ๆ ), ดลและแตง:ที่ไปทานเหล้าเป็นเพื่อน ทนฟังเรานอย และคำปรึกษาที่ตรงที่สุด, อาร์ทและแย้:ที่ทำให้เรารู้ว่าเรามีนายเป็นเพื่อนเสมอ, ความเปลี่ยนแปลง:เธอทำให้เรารู้และเข้าใจความเปลี่ยนแปลง, ขอบคุณโตเกียวทาวเวอร์ที่ทำให้นึกถึงความรักที่เป็นจริงนิจนิรันดร์ และสุดท้ายขอขอบคุณ คุณแม่กับความรักทั้งหมดที่คุณแม่ให้มา ลูกคนนี้จะทำทุกอย่างให้สมกับความรักของแม่ครับ . . .

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551

สวัสดี Blog ยินดีที่ได้รู้จัก นายกับเรา ต้องเจอกันอีกนาน . . .


สวัสดี Blog วันนี้เป็นวันแรกที่เราจะได้ทำความรู้จักกัน หลังจากที่เราได้แต่แอบมองนายมานาน คิดอยู่เสมอว่าจะกล่าวคำทักทายและเข้าไปทำความรู้จักกันอยู่หลายที แต่สุดท้ายก้อไม่กล้าที่จะทำความรู้จักกันสักที จนในที่สุดเพื่อน(จูน)ของเรา ได้ทำความรู้จักกับนาย เราเลยมีความกล้าที่จะมาทำความรู้จักกับนายบ้าง (แต่ที่จริงแล้วอิจฉาเพื่อนจูนที่มีBlogเป็นของตนเองมากกว่า) เราเลยจะมาทำความรู้จักกับนาย ให้นายเป็นเพื่อนของเราอีกคนหนึ่ง เพื่อนที่เราจะจริงใจ เพื่อนที่เราจะบอกเล่าทุกความรู้สึกที่มี และเป็นเพื่อนที่จะทำให้เราได้รู้จักเพื่อนอีกมากมาย แต่ก่อนที่เราจะบอกเล่าเรื่องราวใด ใดของเราต่อจากนี้ไป เราอยากจะแนะนำตัวให้นายได้รู้จักเรา เพื่อให้นายได้พิจารณา(เผื่อนายจะคิดได้ว่า กูไม่น่ารู้จักมึงเลย) และนี่คือเรื่องราวบางส่วนของเรา เพื่อนใหม่ของนายคนนี้ . . .


เราชื่อ Sick Boy ซึ่งเราได้มาจากการทำแบบทดสอบของนวนิยาย Trainsportting ซึ่งก่อนที่จะใช้ชื่อ เด็กป่วยนี้ เราเคยใช้ชื่อว่าจุนเซ (ตัวละครจากนวนิยายเรื่อง Blu เยือกเย็น) มาก่อน สิ่งหนึ่งที่เด็กป่วยและจุนเซเหมือนกันคือ ทั้งสองคนนี้มีส่วนคล้ายกับตัวเรา เด็กป่วยอาจเปรียบได้กับด้านมืดของเรา เจ้าชู้ เจ้าเล่ห์ จ้าวความคิด ชอบทำตัวป่วย ๆ ไว้อ้อนสาว ๆ ส่วนจุนเซอาจคล้ายกับด้านสว่างของเรา เชื่อมั่นในความรัก อยากกลับไปซ่อมอดีตของตัวเอง อ่อนไหว จนบางครั้งอ่อนแอ เราอ่านเรื่องสั้นและนวนิยายมามากมายหลายเรื่อง แต่ 2 คนนี้เป็น 2 คนที่เรารู้สึกว่าเหมือนตัวเรามากที่สุด โดยเฉพาะจุนเซ จุนเซทำให้เราอยากรอคอยใครสักคนหนึ่งเหมือนกับเค้า . . . รอคอยใครสักคน ณ ที่ของเรา ในวันเกิดครบรอบปีที่ 30 ของเธอ . . . (เสี่ยวแด้กป่ะล่ะ)

เวลาว่างของเรา เราใช้สอยมันไปกับ 3 กิจกกรรม นั่นคือการดูหนัง อ่านหนังสือ และก้อทานเหล้า[แต่อย่าให้เหล้าทานคุณนะครับ(เสี่ยวแด้กอีกครั้ง)] ซึ่งเราจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการกิจกรรมทั้ง 3 อย่างแน่นอนในโอกาสต่อ ๆ ไปนะครับ แต่ในเวลาที่เราไม่ว่างเราใช้เวลาเหล่านั้นไปกับการทำ thesis สิ่งที่จะทำให้เรากล่าวเข้าไปสู่อีกโลกที่เราเคยคาดฝันว่าจะเข้าไปและทำให้เราเปลี่ยนเป็นคนใหม่อย่างที่ไม่เคยเป็นมา เพราะthesisคือบททดสอบของชีวิต เราเสือกที่จะพบกับมันเองและมันก้อดันไม่ปล่อยให้เราผ่านไปอย่างง่ายได้ แต่สุดท้ายปลายทางเราเชื่อนะ เราเชื่อว่า เราจะผ่านพ้นมันไปได้ด้วยดี(เป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ)

สุดท้ายนี้(เพราะง่วงแล้น) นับต่อจากนี้ไปเราจะทำความรู้จักกันให้มากขึ้นผ่านเรื่องราวต่าง ๆ ที่เราจะบอกกับนาย เราสัญญาว่าเราจะบอกเล่าเรื่องเหล่านั้นอย่างจริงใจและซื่อสัตย์ เพราะการโกหกนาย(Blog)ก้อเหมือนกับการที่เราโกหกตัวเอง


!!!แต่ก่อนจะจากกันไปเรามีอะไรจะสารภาพกับนาย เราโกหก!!! ที่จริงแล้วเราไม่ได้อยากทำความรู้จักกับนายเพราะเราอยากมีBlogหรอก ที่จริงแล้ว เราเหงา . . . เราไม่รู้จะบอกเล่าเรื่องราวเล่านี้กับใคร เราเพียงหวังงว่านายอาจจะอยากรับฟังเรื่องราวเหล่านี้ของเรา เพราะว่าเรารู้สึกเหงา เหงาอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายเพียงใดหรือแม้แต่กับผู้คนที่เรารักและรักเราก็ตาม แต่เรากลับรู้สึกว่าคนที่เรารักหายไปหมด จนวันหนึ่งที่เรามองไปรอบข้างเราไม่มีใครอยู่เคียงข้างเราอีกแล้ว เรากำลังอยู่คนเดียว . . . อยู่คนเดียวบนโลกที่เราไม่มีความหมายใดใด